ในโลกฟุตบอลเคยมีคำว่า "เฟอร์กี้ ไทม์" ที่หมายถึงการทำประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่สำหรับ ลิเวอร์พูล ยุคใหม่ภายใต้การคุมทัพของ อาร์เน่ ชล็อต ปรากฏการณ์ที่ใกล้เคียงกันได้เกิดขึ้นแล้ว และมันกำลังถูกเรียกขานว่า "ชล็อต ไทม์" โดยมีผลงานล่าสุดคือการเฉือนชนะ แอตเลติโก มาดริด 3-2 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จากลูกโขกของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ในนาทีที่ 90+2

สิ่งที่น่าทึ่งคือชัยชนะเหนือ แอตเลติโก มาดริด ถือเป็นเกมที่ห้าติดต่อกันแล้วในฤดูกาลนี้ที่ ลิเวอร์พูล ได้ประตูชัยในช่วงท้ายเกม โดยประตูตัดสินทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากนาทีที่ 80 เป็นต้นไป แสดงให้เห็นถึงดีเอ็นเอของทีมที่แข็งแกร่งและจิตใจที่ไม่ยอมแพ้แม้กระทั่งวินาทีสุดท้าย

สถิติสุดโหดของ ลิเวอร์พูล เริ่มจากเกมกับ บอร์นมัธ ที่ได้สองประตูชัยในช่วงท้ายจาก เฟเดริโก้ เคียซ่า และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ตามมาด้วยประตูชัยจาก ริโอ เอ็นกูโมฮา ในช่วงทดเจ็บนาทีที่ 10 ที่พาทีมชนะ นิวคาสเซิ่ล นอกจากนี้ยังรวมถึงการชนะ อาร์เซน่อล จากประตูของ โดมินิค โซโบซไล และการชนะ เบิร์นลี่ย์ จาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในช่วงท้ายเกม

ตัวเลขสถิติที่น่าสนใจคือ ลิเวอร์พูล ทำประตูรวมไปแล้ว 14 ลูกในทุกรายการ โดยในจำนวนนั้นมีถึง 4 ประตูที่เกิดขึ้นในนาทีที่ 90 ขึ้นไป หรือคิดเป็นถึง 29 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประตูทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าทีมของ อาร์เน่ ชล็อต สามารถรักษาความอันตรายและแรงกดดันต่อคู่แข่งได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้ง 90 นาที

ปรากฏการณ์ "ชล็อต ไทม์" จึงไม่ใช่แค่เรื่องของโชค แต่สะท้อนให้เห็นถึงความฟิตของนักเตะ ความเชื่อมั่นในแท็กติก และศักยภาพในการพลิกสถานการณ์ของทีมชุดใหม่ ซึ่งทำให้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่อันตรายอย่างยิ่งและพร้อมที่จะสร้างปาฏิหาริย์ในทุกๆ เกมที่ลงสนาม



Post a Comment

أحدث أقدم